Highlight

หมดยุค Zero-COVID จีนเตรียมเปิดประเทศ

7

May

2024

16

December

2022

        หลังจากใช้นโยบายกฎเหล็กคุมเข้ม“โควิดเป็นศูนย์” (Zero-COVID) มายาวนาน ในที่สุดทางการจีนได้ประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา

        นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 3 ปี และถือเป็นการส่งสัญญาณเตรียมพร้อมประชาชนชาวจีน‘ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิด’ เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ท่ามกลางการคาดการณ์ถึงแนวโน้มการเปิดประเทศของจีนในปีหน้า

        10 มาตรการใหม่ที่จีนได้ประกาศออกมา เพื่อปรับปรุงมาตรการควบคุมไวรัสให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการควบคุมโรคและการดำรงชีวิตทางสังคม ประกอบด้วยมาตรการสำคัญ เช่น ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรืออาการเล็กน้อยสามารถกักตัวที่บ้านได้ แทนการไปกักตัวที่สถานที่ที่รัฐกำหนด, การตรรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR จะลดความถี่ และตรวจหาในวงที่แคบลง, ยกเลิกการสแกน QR Code ไม่ต้องโชว์รหัสสุขภาพ (Health Code) บนมือถือ เพื่อเข้าสู่อาคารหรือพื้นที่สาธารณะ ประชาชนสามารถเดินทางในประเทศได้อย่างเสรีมากขึ้น, ปรับมาตรการล็อกดาวน์ให้มีการจำกัดขอบเขตพื้นที่ในวงแคบ แทนที่จะล็อกดาวน์เป็นวงกว้าง เช่น ล็อกดาวน์เฉพาะอาคาร ยูนิต และชั้นบางชั้น แทนที่จะล็อกดาวน์ทั้งเขตหรือทั้งเมือง เพื่อให้ส่งผลกระทบต่อผู้คนน้อยที่สุด พร้อมเร่งฉีดวัคซีนให้กลุ่มผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง

        หลังจากที่ทางการจีนประกาศ 10 มาตรการใหม่ในการควบคุมโควิดได้เพียงไม่นาน ส่งผลให้ยอดค้นหาตั๋วเครื่องบินเพิ่มขึ้นถึง 438% ยอดค้นหาโรงแรมที่พักช่วงปีใหม่ เพิ่มขึ้น 7 เท่า ขณะที่ยอดค้นหาตั๋วเครื่องบินช่วงก่อนตรุษจีนพุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี

        ยอดการจองตั๋วเครื่องบิน และจำนวนเที่ยวบินในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด สายการบินขนาดใหญ่ 3 สายในจีน ได้แก่ แอร์ไชน่า, ไชน่าเซาท์เทิร์นแอร์ไลน์ และ ไชน่าอีสเทิร์น แอร์ไลน์ ตัดสินใจกลับมาเปิดให้บริการเที่ยวบินจำนวน 136 เส้นทาง ไปยังต่างประเทศอีกครั้งในเดือนธ.ค.

        ล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนยังได้ทยอยผ่อนคลายอีกมาตรการสำคัญ โดยประกาศยกเลิกการใช้แอปพลิเคชันติดตามการเดินทางของประชาชนผ่านมือถือ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือดิจิทัลที่ทางการจีนใช้มาตั้งแต่ปี 2563 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโควิด โดยประชาชนจำเป็นต้องลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์มือถือของตน เพื่อให้ได้รับสัญลักษณ์ลูกศรสีเขียว ก่อนเดินทางข้ามเมือง หรือเข้าร่วมงานต่าง ๆ

        ผู้คนจำนวนมากต่างแสดงความยินดีกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้  ในโลกโซเชียลจีนมีการโพสต์ ภาพการใช้งานแอปฯติดตามการเดินทางดังกล่าวเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมแสดงข้อความอำลา อาทิ “ลาก่อน นี่คือการประกาศสิ้นสุดยุคเก่า และยินดีต้อนรับสู่ยุคใหม่” ขณะที่ผู้อยู่อาศัยในนครเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า พวกเขาจะป้องกันเชื้อไวรัสด้วยตนเอง  และไม่รู้สึกกังวลเพราะอาการป่วยไม่รุนแรง

        อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้คนอีกจำนวนไม่น้อยที่มีความกังวลว่า “เมื่อผ่อนคลายมาตรการโควิด-19  การระบาดอาจจะหนักขึ้น และมีผู้ติดเชื้อมากขึ้น” ความกังวลดังกล่าวทำให้เกิดคำถามตามมาถึงความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้นต่อไปของจีน

        เพื่อลดความเสี่ยงของการระบาดใหญ่ที่อาจปะทุขึ้นหลังผ่อนคลายมาตรการโควิด รัฐบาลท้องถิ่นและโรงพยาบาลทั่วประเทศจีน ได้ยกระดับการให้บริการทางการแพทย์และการจัดสรรทรัพยากรทางการแพทย์เพื่อรับมือกับจำนวนผู้ป่วยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตลอดจนดูแลผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบางให้ดียิ่งขึ้น

        อย่างไรก็ตาม การจะทำให้ประชาชนรู้สึกผ่อนคลายความกังวลถึงสถานการณ์การแพร่ระบาด กลับมาใช้ชีวิตและจับจ่ายใช้สอยได้ตามปกติ ยังนับเป็นโจทย์ที่ท้าทาย ขณะที่ความคาดหวังถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้เท่ากับก่อนเกิดโรคระบาดอาจยังต้องอาศัยเวลา

        คำถามว่า “จีนจะเปิดประเทศเมื่อไหร่?” จึงยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาด หลังจากผ่อนคลายกฎเหล็กคุมเข้มในรอบ 3 ปี และมาตรการในการรับมือของจีนว่าจะทำได้ดีเพียงใด ซึ่งนับเป็นว่ามีความท้าทายอย่างมาก

        หากจีนสามารถทําได้ดี และสามารถขยับไปสู่การเปิดประเทศได้ในปีหน้า เศรษฐกิจไทยก็มีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน และการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับประเทศในช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19

ไทยติดกลุ่มได้ประโยชน์สูงสุดจากจีนเปิดประเทศ คาดหนุน GDP โต 2.9%

        โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของไทย ฮ่องกง และสิงคโปร์ จะได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการเปิดประเทศของจีน โดยขณะนี้ทางการจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 และมีแนวโน้มที่จะเปิดประเทศในไม่ช้านี้

        ทีมนักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า การเปิดประเทศของจีนจะช่วยหนุนตัวเลข GDP ของไทยให้ขยายตัวราว 2.9%,หนุน GDP ฮ่องกงขยายตัว 7.6% และช่วยหนุน GDP สิงคโปร์ขยายตัว 1.2% โดยคาดว่าการที่จีนเปิดประเทศ จะช่วยให้การส่งออกและรายได้ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศและเขตพื้นที่เหล่านี้ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง

        สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า การคาดการณ์ดังกล่าวของโกลด์แมน แซคส์ ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าการเปิดประเทศของจีนจะช่วยหนุนอุปสงค์ภายในประเทศจีนให้ขยายตัว 5% และเป็นแรงผลักดันให้ทริปการเดินทางระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นสู่ระดับเดียวกับในปี 2562

        การเปิดประเทศของจีนมีแนวโน้มที่จะสร้างผลกระทบในเชิงบวกต่อการเดินทางระหว่างประเทศมากที่สุด รองลงมาคือช่วยสนับสนุนตัวเลขการนำเข้าสินค้าให้ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง

        รายงานของโกลด์แมน แซคส์ ยังระบุด้วยว่า การใช้จ่ายด้านการเดินทางของไทยจะมีส่วนช่วยสนับสนุนตัวเลข GDP ในอัตราส่วน 3% และการใช้จ่ายด้านการเดินทางของฮ่องกงจะเป็นปัจจัยหนุนตัวเลข GDP ในอัตราส่วน 6% พร้อมระบุว่า ผลกระทบเชิงบวกเหล่านี้อาจจะแข็งแกร่งขึ้นอีก หากความต้องการการเดินทางของชาวจีนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากที่รัฐบาลจีนได้สั่งปิดพรมแดนเป็นเวลานานถึง 3 ปี

Tags:
No items found.