จีนเตรียมตั้งตลาดหุ้นแห่งที่ 3 ในปักกิ่ง รองรับการระดมทุน SMEs ในประเทศ
12
January
2022
2
September
2021
สี จิ้นผิงประธานาธิบดีจีนประกาศในการประชุมสุดยอดการค้าภาคบริการโลกระหว่างมหกรรมการค้าบริการนานาชาติ (CIFTIS) เมื่อวันที่ 2 ก.ย.ว่ารัฐบาลจีนได้เตรียมจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์จีนแห่งใหม่ในกรุงปักกิ่งโดยหวังให้เป็นแพลตฟอร์มหลักเพื่อรองรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งที่ 3 ของประเทศ เพิ่มเติมจากตลาดหลักทรัพย์ 2 แห่งในศูนย์กลางทางการเงินอย่างเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น
ด้านคณะกรรมาธิการกำกับหลักทรัพย์จีนหรือ China Securities Regulatory Commission (CSRC) เปิดเผยผ่านแถลงการณ์หลังสุนทรพจน์ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง โดยระบุว่า ทางคณะกรรมาธิการฯจะเร่งศึกษาแนวคิดดังกล่าวของผู้นำประเทศและนำมาสานต่อเนื่องจากการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ในกรุงปักกิ่งจะสนับสนุนการปฏิรูปภาคการเงินและพัฒนาระบบตลาดทุนของจีนให้มีคุณภาพแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่จะรองรับบริษัทSMEs ด้านนวัตกรรมเป็นหลักและจะเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นในเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นเพื่อรักษาสมดุลของโครงสร้างตลาดหลักทรัพย์ในประเทศจีน
ด้านนักวิเคราะห์มองว่า การจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งที่3 จะช่วยปรับปรุงโครงสร้างของตลาดทุนของจีนให้มีพลวัตและความยืดหยุ่นมากขึ้นซึ่งจะช่วยผลักดันให้การเติบโตของจีนเป็นไปอย่างมีคุณภาพภายใต้การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเป็นหลัก
เดินหน้าปรับปรุงกฎระเบียบการค้าข้ามพรมแดน
นอกจากการประกาศเดินหน้าสนับสนุนSMEs ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในงานCIFTIS ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังได้ให้คำมั่นในการปรับปรุงกฎระเบียบการค้าข้ามพรมแดนโดยประกาศว่า จีนเตรียมบังคับใช้ "Negative List" (รายการข้อจำกัดและข้อห้าม) สำหรับการค้าภาคบริการข้ามพรมแดนทั่วประเทศ เพื่อยกระดับความโปร่งใสและการคาดการณ์สภาพแวดล้อมทางธุรกิจในประเทศ
NegativeList มีการบังคับใช้เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนก.ค.ในมณฑลไห่หนานซึ่งเป็นท่าเรือการค้าเสรีนำร่องแห่งเดียวของประเทศโดยได้ระบุกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต้องห้ามหรือจำกัดใน 11 สาขา ซึ่งหมายความว่ากิจกรรมที่ไม่ได้ระบุไว้ในNegative List จะได้รับอนุญาตโดยผู้ให้บริการในจีนและต่างประเทศสามารถเข้าถึงตลาดได้อย่างเท่าเทียมในธุรกิจที่อยู่นอกเหนือNegative List
"เราจะเปิดกว้างในระดับที่สูงขึ้น"ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าว พร้อมกับให้คำมั่นว่าจะยกระดับการสนับสนุนภาคบริการสำหรับผู้ที่มีส่วนร่วมในการสร้างโครงการBelt and Road Initiative (BRI) โดยย้ำว่าจีนจะแบ่งปันผลลัพธ์ของการพัฒนาเทคโนโลยีกับทั่วโลกและแสดงความหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับทั่วโลกเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโรคระบาด