เปิดฉากประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 ณ กรุงปักกิ่ง
17
June
2024
16
October
2022
ทั่วโลกจับตา 4 ประเด็นใหญ่ ! 1.การเป็นผู้นำจีนต่อสมัยที่3 ของสี จิ้นผิง 2.จีนยังจะคงนโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่อไปหรือไม่ 3.การรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจ 4.ท่าทีของจีนที่มีต่อไต้หวันและชาติตะวันตก
16 ต.ค. 65 การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคคอมมิวนิสต์จีนเริ่มขึ้นแล้ว ณ กรุงปักกิ่ง โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมซึ่งถือเป็นการรวมตัวครั้งสำคัญของสมาชิกสภาแห่งชาติกว่า 2,200คน
วาระสำคัญในการประชุม คือการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยเฉพาะในช่วงท้ายที่สมาชิกคณะกรมการเมืองถาวร (Politburo Standing Committee หรือ PSC) ชุดใหม่ จะปรากฏตัวบนเวทีตามลำดับความสำคัญ ซึ่งจะบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงในนโยบายของจีนผู้นำคนใหม่ หรือว่าที่ผู้สืบทอดในอนาคต
นอกจากนี้ ยังจะมี การรายงาน “ผลงาน”ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง
ในวาระโอกาสนี้ จะมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางของจีนในอีก 5 ปีข้างหน้าด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หลายฝ่ายจับตามองว่าในเนื้อหาการประชุมครั้งนี้ จีนจะทำอย่างไรต่อไปกับนโยบายโควิดเป็นศูนย์ การรับมือวิกฤติเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์กับไต้หวันและชาติตะวันตก เป็นต้น
ไฮไลท์การประชุมครั้งนี้ซึ่งจะแตกต่างไปจากครั้งก่อนๆคือ เป็นที่คาดหมายอย่างกว้างขวางว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะได้รับการยืนยันให้เป็นผู้นำประเทศสมัยที่ 3 ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเนื่องจากที่ผ่านมา ผู้นำจีนสามารถอยู่ในตำแหน่งได้มากที่สุดเพียง 2 สมัย หรือ 10 ปี
ปัจจุบัน สี จิ้นผิง ผู้นำจีน วัย 69 ปี ดำรง 3ตำแหน่งสำคัญสูงสุดของรัฐบาลจีน ได้แก่ เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน, ประธานคณะกรรมการกองทัพกลาง หรือผู้บัญชาการทหารสูงสุด
, ประธานาธิบดี
การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นกิจกรรมการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของจีนที่จัดขึ้นทุกๆ 5 ปี โดยในปีนี้ เริ่มเปิดฉากในวันที่ 16 ต.ค. และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 22ต.ค.นี้ รวมระยะเวลา 7 วัน
การประชุมฯ จะมีการถ่ายทอดสดโดยไชน่า มีเดียกรุ๊ป (CMG) และสำนักข่าวซินหัว ผ่านสถานีโทรทัศน์และวิทยุทั่วจีน เว็บไซต์ข่าวแพลตฟอร์มสื่อใหม่ หน้าจอกลางแจ้งขนาดใหญ่ และโทรทัศน์เคลื่อนที่
------------------------------------------
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ