Midea เปิดเกมรุกตลาดไทย ตอกย้ำผู้นำเครื่องปรับอากาศระดับโลก
16
November
2024
27
May
2022
สำหรับคนไทย ชื่อของ Midea (ไมเดีย) อาจเพิ่งเป็นที่รู้จักคุ้นหู แต่สำหรับในจีน และในระดับโลก ไมเดียถือเป็นผู้นำแบรนด์เครื่องปรับอากาศที่ไม่เป็นสองรองใคร ทั้งในด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี และยอดขายกว่า 341,200 ล้านหยวน ติดอันดับที่ 288 บริษัทที่มีรายได้สูงสุดของโลกใน Fortune Global 500 ประจำปี 2564 นอกจากนี้ ยังเป็นแบรนด์อันดับ 1 ของโลกในด้านการส่งออกกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ, พัดลมไอเย็น, กาต้มน้ำและหม้อหุงข้าว จากการจัดอันดับของยูโรมอนิเตอร์
ปัจจุบัน ไมเดียก่อตั้งธุรกิจมาแล้วกว่า 54 ปี เป็นกลุ่มบริษัทด้านเทคโนโลยีครบวงจรระดับโลก ที่ดำเนินธุรกิจครอบคลุม 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจสมาร์ทโฮม (Smart Home Business), เทคโนโลยีอุตสาหกรรม (Industrial Technologies), เทคโนโลยีภายในอาคาร (Building Technologies), หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (Robotics & Automation) และ ธุรกิจนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Innovation Business) มีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนามากกว่า 5 หมื่นล้านหยวนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีศูนย์วิจัย 35 แห่งและฐานการผลิตหลัก 35 แห่งทั่วโลก ผลิตภัณฑ์และการบริการของไมเดียจัดจำหน่ายไปยังทั่วโลก ครอบคลุมผู้คนกว่า 500 ล้านคนใน 200 ประเทศและเขตพื้นที่
ในปี 2565 ไมเดียวางแผนปรับตำแหน่งกลุ่มธุรกิจทั้ง 5 กลุ่มใหม่ โดยเน้นความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี เพื่อบรรลุการพัฒนาธุรกิจรูปแบบ B2C และ B2B ควบคู่กัน ผลักดันการพัฒนาเชิงคุณภาพทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้บริบทของยุทธศาสตร์การพัฒนาวงจรคู่ การทดแทนสินค้าจากต่างประเทศด้วยสินค้าภายในประเทศ และการยกระดับอุตสาหกรรม ยึดมั่นในแกนเชิงกลยุทธ์ใหม่ "ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี การเข้าถึงผู้ใช้โดยตรง ขับเคลื่อนด้วยสมาร์ทดิจิทัล และความก้าวหน้าระดับโลก" โดยยังคงให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีดิจิทัล IoT ความก้าวหน้าระดับโลกและความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าวางแผนและลงทุนในเทรนด์เทคโนโลยีใหม่ ๆ มุ่งมั่นก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลกด้านสมาร์ทโฮมและสร้างสรรค์การขับเคลื่อนภาคการผลิตอัจฉริยะ
ก้าวใหม่ Midea ในไทย เปิดเกมรุกตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์
สำหรับประเทศไทย ไมเดียได้เข้ามาชิมลางทำตลาดครั้งแรกเมื่อปี 2549 โดยเริ่มจากการเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ฟ้าขนาดเล็ก ต่อมาจึงได้เริ่มก่อตั้งสำนักงานในไทยในปี 2556 เดินหน้าขยายตลาดเครื่องปรับอากาศและเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กในบ้าน พร้อม ๆ กับการเปลี่ยนมุมมองใหม่ของผู้บริโภคชาวไทยที่มีต่อแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าจีน จนมีฐานลูกค้าซึ่งเกิดจากการบอกต่อปากต่อปากในด้านความคุ้มค่าและเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์
ล่าสุด ไมเดีย ประเทศไทย ได้ประกาศทิศทางธุรกิจก้าวใหม่ครั้งสำคัญ รุกคืบสู่การเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ในไทย โดยเปิดตัวกลุ่มธุรกิจ Midea Building Technologies หรือ MBT เดินหน้าฐานลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (B2B) ที่ต้องการวางระบบเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ สำหรับผู้พัฒนาโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ อาทิ โรงแรม คอนโดมิเนียม บ้านพักอาศัย ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตตามทิศทางของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและนโยบายการเปิดประเทศของภาครัฐ
โทนี่ หลิว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ็มดี คอนซูเมอร์ แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ไมเดีย ประเทศไทย เปิดเผยว่า เป้าหมายใหม่ของไมเดียจะมุ่งผลักดันการเติบโตในตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ โดยวางเป้าหมายการเติบโตด้านยอดขายปีนี้ไว้ที่ 45% เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ไมเดีย MBT ทะยานขึ้นสู่อันดับที่ 3 ของตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ VRF และ Chiller ในประเทศไทย ภายใน 5 ปีจากนี้
ภายใต้เป้าหมายดังกล่าว ไมเดียได้วางงบลงทุนในการทำการตลาดและการสร้างแบรนด์ปีละ 12% จากยอดขาย พร้อมให้การสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ทั้งการตลาด ทีมขาย เน้นช่องทางการขาย และจัดอบรมสินค้าให้สำหรับโครงการ พร้อมการบริการหลังการขายที่เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ
ทั้งนี้ แผนของไมเดียจะเน้นทำตลาดใน 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1.เครื่องปรับอากาศแบบ VRF หรือที่รู้จักในอุตสาหกรรมว่า “ระบบปรับอากาศแบบรวมศูนย์แบบแยกหลายส่วน” (Multi Split type Central Air Conditioning System) ซึ่งเหมาะกับการติดตั้งในอาคารขนาดกลางและขนาดใหญ่ และ 2.เครื่องปรับอากาศแบบชิลเลอร์ (Chiller) โดยใช้ระบบทำน้ำเย็น คอมเพรสเซอร์ระบบแม่เหล็กไฟฟ้า (Magnetic Bearing Chiller) ให้ประสิทธิภาพในการทำความเย็นที่สูง ซึ่งทำให้อายุการใช้งานยาวนานมากขึ้น การบำรุงรักษาสะดวก พร้อมช่วยลดต้นทุนตลอดวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Cost) ของอาคารอย่างเหนือชั้น บวกกับการดีไซน์คอมเพรสเซอร์แบบ Back To Back ช่วยให้การทำงานของระบบคอมเพรสเซอร์เสถียร มีประสิทธิภาพและทำงานเงียบมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญ ชิ้นส่วนอะไหล่หลักของชิลเลอร์อย่างชุด Magnetic Bearing, Microcontroller และ Inverter ล้วนแต่เป็นการคิดค้นและพัฒนาจากโรงงานไมเดียโดยตรง ทำให้มีความได้เปรียบในด้านอะไหล่และประสิทธิภาพการใช้งาน นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น เทคโนโลยี Full Falling Film Evaporation เทคโนโลยีระบบการระเหยสารทำความเย็น ช่วยประหยัดในส่วนของสารทำความเย็นได้ถึง 40% เมื่อเปรียบเทียบกับชิลเลอร์ในแบบปกติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
สำหรับกลุ่มธุรกิจ Midea Building Technologies หรือ MBT ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักที่สำคัญของไมเดีย ซึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อ 23 ปีก่อน ในปี 2542 เพื่อผลิตวิจัยและพัฒนาเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ โดยไมเดียนับเป็นผู้นำด้านการผลิตเครื่องปรับอากาศ VRF รายแรกของจีน เริ่มต้นจากก้าวแรกของการพัฒนาสินค้า VRF ให้กับโตชิบา-แคเรีย ก่อนจะขยายผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าเชิงพาณิชย์ที่ครอบคลุมทั้ง Chiller ตลอดจนระบบ M-BMS (Midea Building Management Mystem) ในอาคารและอื่น ๆ โดยทำกิจการร่วมค้าทั่วโลกกับ Siemens, Bosch, Siix และ CLIVET ล่าสุด ยังได้พัฒนาธุรกิจกลยุทธ์ในด้านธุรกิจลิฟต์ ในนาม LINVOL ในปี 2563
ปัจจุบัน กลุ่มธุรกิจ MBT ของไมเดีย มีโรงงานผลิต 6 แห่งในประเทศจีนและอิตาลี ทำให้มีความแข็งแกร่งในด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทาน และการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี โดยทีมงาน R&D มากกว่า 600 คน มีการลงทุนในเทคโนโลยีหุ่นยนต์และ Automation กว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีแผนจะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นทุกปี ปีละ 5%
ผู้บริหารไมเดีย ประเทศไทย ระบุว่า จุดขายที่สำคัญของไมเดียในตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ คือ การมีเทคโนโลยีที่โดดเด่นบวกกับความหลากหลายของสินค้าที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า ครอบคลุมการติดตั้งในทุกขนาดพื้นที่ขนาดใหญ่ ที่ผ่านมา ไมเดียมีผลงานระดับโลกเป็นผู้รับผิดชอบดูแลด้านระบบปรับอากาศให้กับโครงการนานาชาติต่าง ๆ มาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2014 ที่บราซิล, ฟุตบอลโลกปี 2018 ที่รัสเซีย, การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2016 หรือ Rio Olympic Games ที่บราซิล ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีผลงานในประเทศไทยหลายโครงการ อาทิ การติดตั้งระบบปรับอากาศขนาดใหญ่ในท่าอากาศยานดอนเมือง, โครงการโอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ, อมารี เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ เป็นต้น
ปักหมุดประเทศไทย ขยายฐานสู่อาเซียน
โทนี่ หลิว ผู้บริหารไมเดีย ประเทศไทย เล่าว่า ไมเดียเริ่มเข้ามาทำตลาดในไทยครั้งแรก เมื่อปี 2549 โดยเริ่มจากจัดจำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ฟ้าขนาดเล็ก จากนั้นในปี 2556 ได้เริ่มก่อตั้งสำนักงานในไทย ขยายฐานลูกค้าจาก B2C มาสู่ B2B ที่เป็นเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ ทั้ง VRF และชิลเลอร์ โดยปัจจุบัน สัดส่วนยอดขาย 60% ของบริษัทฯมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ และอีก 40% เป็นสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้ากลุ่ม Smart home ทั้งนี้ ในด้านกระแสการตอบรับของลูกค้าชาวไทยที่มีต่อแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าจีน นับตั้งแต่ไมเดียได้เข้ามาตั้งแต่สำนักงานในไทยเพื่อบุกตลาดอย่างเป็นทางการ ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในหลาย ๆ ด้าน โดยนอกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีนจะได้รับการยอมรับมากขึ้นแล้ว ลูกค้ายังมีความต้องการสินค้าที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น ขณะที่ช่องทางอีคอมเมิร์ซได้กลายเป็นช่องทางที่มีบทบาทอย่างมาก โดยเฉพาะสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก
ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นตลาดที่กลุ่มบริษัทไมเดียให้ความสำคัญเป็นพิเศษ โดยโทนี่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ด้วยจำนวนประชากรกว่า 70 ล้านคน ซึ่งโอกาสการเติบโตจากตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมซื้อสินค้าผ่านอีคอมเมิร์ซเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ไมเดียให้ความสำคัญ ขณะที่ด้านตลาดเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ในกลุ่ม MBT ประเทศไทยถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ในอันดับท็อป 3 ของอาเซียน
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีจุดแข็งในด้านห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะในองค์ประกอบสำคัญเช่น คอมเพรสเซอร์ มอเตอร์ และ PCB Board ที่เป็นผู้ผลิตและกระจายการขนส่งเองได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงการมีช่องทางการจำหน่ายที่ครอบคลุมทั้งลูกค้าธุรกิจองค์กรร้านค้า สำหรับธุรกิจ HVAC และการจำหน่ายให้ลูกค้าบุคคลทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และตัวแทนจำหน่ายตามภูมิภาคต่างๆ
“เรามองว่าไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ที่ผ่านมา ไมเดียจึงได้เข้ามาลงทุนสร้างโรงงานต่อเนื่อง ตอนนี้เรามีโรงงานในประเทศไทยทั้งหมด 5 แห่ง ซึ่งมีทั้งโรงงานผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายทั้งเครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก โรงงานผลิตคอมเพรสเซอร์ในจ.อยุธยา โดยโรงงานแห่งล่าสุดที่เราเข้ามาลงทุนในประเทศไทย คือ โรงงาน Midea Thailand Smart Factory สำหรับผลิตเครื่องปรับอากาศสำหรับที่พักอาศัย ได้เปิดเดินเครื่องผลิตแล้วเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา โดยตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง (โครงการ 5) อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งถือเป็นโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศสำหรับที่พักอาศัยของไมเดียที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งยังเป็นโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีกำลังผลิตสูงที่สุดที่ตั้งอยู่นอกประเทศจีนของไมเดีย กรุ๊ป โดยอนาคตวางเป้าให้โรงงานแห่งนี้เป็นศูนย์กลางส่งออกเครื่องปรับอากาศสำหรับที่พักอาศัย ไปยังตลาดอาเซียน ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและข้อได้เปรียบในด้านภาษี อีกทั้งยังช่วยประเทศในกลุ่มอาเซียน ได้รับผลประโยชน์ในด้านห่วงโซ่อุปทานอย่างเต็มรูปแบบ
สำหรับประเทศไทย การเปิดโรงงาน และการขยายธุรกิจเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ MBT ในครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญช่วยให้ภาพรวมและเพิ่มสัดส่วนการตลาดให้แบรนด์ไมเดีย เติบโตอย่างรวดเร็วมากขึ้น โดยประเทศไทยถือได้ว่าถูกจัดอยู่ในลำดับต้นๆ ของภูมิภาคอาเซียนที่มีดัชนีชี้วัดเสรีภาพทางเศรษฐกิจและมีศักยภาพในการเติบโต เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน การดำเนินธุรกิจในไทยจะทำให้ไมเดียสามารถเชื่อมต่อเป็นศูนย์กลาง และทำให้ซัพพลายเชนทั้งระบบดำเนินงานอย่างราบรื่นและรวดเร็วมากขึ้น และยังมีโอกาสในการขยายตลาดลูกค้าในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และกลุ่มลูกค้าจากอีคอมเมิร์ซ ที่มียอดขายเติบโตสูงมากในปีที่ผ่านมา” ผู้บริหารไมเดีย ประเทศไทย กล่าวด้วยความเชื่อมั่น