‘หอการค้าไทย-จีน’ เผยดัชนีความเชื่อมั่นไตรมาส 4 คาดโควิดฉุดเศรษฐกิจทั้งปีติดลบ 1%
17
November
2021
6
October
2021
ณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน เปิดเผยถึงผลสำเร็จดัชนีความเชื่อมั่นไตรมาส 4/2564 ซึ่งหอการค้าไทย-จีน ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สำรวจความเห็นในรูปแบบออนไลน์ไปยัง คณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และสมาชิกหอการค้าไทยจีน และประธานผู้บริหาร กรรมการสมาพันธ์หอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าไทย-จีนจำนวนประมาณมากกว่า 200 คน โดยผู้ตอบแบบสอบถามเหล่านั้น เป็นนักธุรกิจที่มีประสบการณ์ทำธุรกิจมายาวนานมากกว่า 20-40 ปี เป็นเจ้าของกิจการทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็กซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนของจีน รวมถึงนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเล
สำหรับแบบสอบถามประกอบด้วย 4 ส่วนคือ 1) ประเด็นเฉพาะกิจ หรือเหตุการณ์ 2) ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจไทย-จีน 3) ตัวชี้วัดภาวะเศรษฐกิจไทย และ 4) ตัวชี้วัดปัจจัยเกื้อหนุนระหว่างวันที่ 16 – 26 กันยายน 2564 หรือช่วงไตรมาสที่ 3 เพื่อคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่4 สรุปได้ว่า
ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความกังวลก่อนที่จะผ่านปี2564 คือ ความกังวลต่อการกลายพันธุ์ของโรค โควิด-19 ที่รุนแรงกว่าสายพันธุ์เดลต้า
ปัจจัยในลำดับต่อมาคือ หนี้สะสมของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนและเสถียรภาพทางด้านการเมือง และอีกสองปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรค โควิด-19 คือความสำเร็จของการฉีดวัคซีนให้ได้ตามแผน และการที่ต่างชาติเฝ้าระวังไทยหากมีการระบาดของโรคเพิ่มสูงขึ้น
จึงกล่าวโดยสรุปได้ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นการสร้างความกังวลทุกครั้งที่มีการสำรวจตั้งแต่ไตรมาส 1 ถึงไตรมาส 4 รวม 4 ครั้ง ในรอบ 12 เดือน มิใช่เฉพาะแต่การสำรวจครั้งนี้เท่านั้น
ประธานหอการค้าไทย-จีน กล่าวย้ำว่าจากการตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีนให้ครบ 2 เข็มร้อยละ 70 ในกลุ่ม608 และเข็มแรกได้ร้อยละ 50 ของประชากรทั้งหมดตามข่าว ณ ช่วงเวลาสำรวจ ผลการสำรวจพบว่าร้อยละ 19 เห็นว่าจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจมากและร้อยละ 54.7 เห็นว่าจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจภายในสิ้นปี 2564
อย่างไรก็ตาม มีร้อยละ 23.6 คาดว่าสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างน่าจะไม่ดีขึ้นซึ่งอาจจะเป็นเพราะปัจจัยอื่นๆนอกเหนือจากโรคระบาด และยังได้มีการสอบถามเพิ่มเติมว่าการแสดงเอกสารที่ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็มมีความจำเป็นมากหรือน้อยเพียงใดที่สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้ประกอบการในธุรกิจที่เป็นแหล่งพบปะของคนจำนวนมากร้อยละ 49.1 และร้อยละ 33.5 กล่าวว่าจำเป็นและจำเป็นมากตามลำดับขณะที่ร้อยละ 17.5 ให้ความคิดเห็นว่าไม่จำเป็น ซึ่งสรุปได้ว่าผู้ถูกสำรวจเล็งเห็นว่าการฉีดวัคซีนให้ได้ตามแผนที่วางไว้และการมีเอกสารแสดงว่าได้รับวัคซีนแล้ว มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและสร้างความมั่นใจในการทำธุรกิจที่มีคนพบปะกันจำนวนมากอาทิ ร้านอาหาร และศูนย์การค้า
อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ที่ยังมีผู้ติดเชื้อโควิดอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราคงจะต้องใช้ชีวิตร่วมอยู่กับการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไปอีกระยะเวลาหนึ่งหากพิจารณาจากสถิติจำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ย 14 วันได้สอบถามผู้สำรวจถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดความสบายใจในการทำธุรกิจและการขยายการลงทุนพบว่า ร้อยละ 52.4 เห็นว่าจำนวนผู้ติดเชื้อควรจะมีน้อยกว่า 2,000 รายต่อวัน(ค่าเฉลี่ย 14 วันย้อนหลัง) และร้อยละ 15.1 เห็นว่าผู้ติดเชื้อควรจะมีอยู่ระหว่าง2,000 ถึง 4,000 ราย
เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและไทยจากการสำรวจพบว่าร้อยละ 44.8 คาดว่าเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนโดยรวมของจีนในไตรมาสที่4 จะดีขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ในขณะที่ร้อยละ24.1 คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะทรงๆ ส่วนร้อยละ 25 มีความเห็นว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะเติบโตช้าลงซึ่งผลการประเมินดังกล่าวได้สะท้อนถึงการคาดคะเนการส่งออกของไทยไปยังประเทศจีนในไตรมาสที่4 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบันกล่าวคือ ร้อยละ 40.1 คาดว่าการส่งออกของไทยไปยังจีนจะเพิ่มขึ้นและ ร้อยละ 31.1 ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน การคาดคะเนการนำเข้านั้นร้อยละ 45.8 คาดว่าการนำเข้าจากจีนจะเพิ่มสูงขึ้น และร้อยละ25.5 การนำเข้าจะทรงตัว ส่วนผลของการสอบถามความคิดเห็นด้านการลงทุนของจีนในไทย พบว่า การคาดคะเนระหว่างการลงทุนจากจีนที่ เพิ่มขึ้น คงเดิมหรือลดลงไม่มีความแตกต่างกัน ระหว่างไตรมาสนี้และไตรมาสหน้า
อุปสรรคการส่งออกสินค้าไทยไปยังตลาดจีนซึ่งได้ฟื้นตัวแล้วพบว่าอุปสรรคหลักคือ ปัญหาจากค่าขนส่งทางเรือ ปัญหาของความเพียงพอของการให้บริการทางเรือการขาดแคลนแรงงานและวัตถุดิบในประเทศไทย ขั้นตอนการนำเข้าสินค้าของจีน และมาตรฐานสินค้าที่จีนบังคับใช้แต่เป็นที่น่าสนใจว่าการชำระและการโอนเงินค่าสินค้านั้นเป็นอุปสรรคน้อยที่สุด ด้วยจีนกำลังรณรงค์นโยบายเศรษฐกิจเติบโตที่รอบด้านและเสมอภาค(Common Prosperity) ซึ่งน่าจะมีผลกระทบต่อประเทศไทยกำลังฟื้นตัวจากโควิด-19 จากการคาดการณ์พบว่าร้อยละ 30.2 จีนจะนำเข้าสินค้ามากขึ้นและลงทุนในไทยมากขึ้นร้อยละ 22.6 ให้ความคิดเห็นในทิศทางตรงกันข้าม ร้อยละ 12.3 คาดว่าไม่มีผลกระทบจากผลการสำรวจที่ยังมาฟันธงได้ในกรณีนี้คงต้องติดตามผลของนโยบายอย่างใกล้ชิด และทำความเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของนโยบายจีน
สำหรับประเด็นเชิงนโยบายของจีนที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดคือ วิกฤตพลังงานของจีน จะส่งผลต่อการชะลอกำลังการผลิตและชะลอการนำเข้าวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์การผลิต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุตสาหกรรม ทั้งของจีนเองรวมถึงในภูมิภาคและโลกโดยรวม
การสำรวจการคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจการค้า การลงทุน ของไทยโดยรวม ในไตรมาสที่ 4 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบันสรุปได้ว่าร้อยละ 41.5 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น ร้อยละ 26.9 จะทรงๆแต่ร้อยละ 28.8 ไตรมาสที่ 4 จะชะลอตัวลง
ทั้งนี้ภาคธุรกิจที่ยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้คือธุรกิจออนไลน์ ธุรกิจโลจิสติกส์ พืชผลการเกษตร เกษตรแปรรูปและบริการสุขภาพ ส่วนธุรกิจที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนคือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง อุตสาหกรรมการผลิตธุรกิจค้าส่งค้าปลีก และพืชผลการเกษตรบางรายการ
ประธานหอการค้าไทย-จีนกล่าวเสริมว่า การฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ให้มีความยั่งยืนได้นั้นคงต้องเน้นการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ จะอาศัยจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนมากๆ เช่น นักท่องเที่ยวจีน9-10 ล้านคนต่อปี เหมือนกับช่วงก่อนการระบาดโควิด-19 คงเป็นไปไม่ได้
ดังนั้นจำนวนแรงงานภาคการท่องเที่ยวส่วนหนึ่งซึ่งเป็นแรงงานส่วนเกินจำเป็นต้องออกจากภาคการท่องเที่ยวจะต้องได้รับการเพิ่มทักษะหรือปรับเปลี่ยนความถนัด (upskills และreskills) เพื่อโยกย้ายไปสู่ภาคธุรกิจบริการและอุตสาหกรรมอื่นๆและแรงงานอีกส่วนหนึ่งจะโยกย้ายกลับภูมิลำเนาเพื่อเข้าสู่ภาคเกษตรกรรมและจะทำอย่างไรให้แรงงานส่วนนี้กลายเป็นเกษตรกรอัจฉริยะ(smart farmer) เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศต่อไป
ท้ายที่สุดนี้ ในการคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตหรือGDP ของประเทศไทยทั้งปี 2564 ร้อยละ54.5 คาดว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจติดลบ ส่วนร้อยละ 28.7 คาดว่าอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจอยู่ในช่วงไม่เกิน1% การคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในไตรมาสที่4 เมื่อเทียบกับไตรมาสปัจจุบันร้อยละ 44.3 คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์น่าจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนร้อยละ 26.9 คาดว่าคงเดิมและร้อยละ 26.4 คาดว่าจะปรับตัวลดลง
สำหรับแนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ร้อยละ36.84 คาดว่าเงินบาทจะมีค่าอ่อนลงที่ 32.90-33.65 และ ร้อยละ 7.18 คาดว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงมากในอัตราที่มากกว่า 33 เมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาในไตรมาสหน้า